บทความนี้ก็เลยจะมาคุยเรื่องของการออกแบบเครื่องจักร (Machine design) ในมุมด้านความซับซ้อนกันครับ โดยการออกแบบเครื่องจักรอาจแบ่งออกได้เป็น 3 รูปแบบ
เป็นการปรับเปลี่ยน เพิ่มเติมแก้ไขเครื่องจักรที่มีอยู่เพียงเล็กน้อย การออกแบบประเภทนี้ ผู้ออกแบบไม่จำเป็นต้องมีความรู้หรือทักษะทางด้านเทคนิคที่เกี่ยวข้องกับเครื่องจักรมากนัก ผู้ออกแบบสามารถทำการสลับ ปรับเปลี่ยนหรือดัดแปลงชิ้นส่วนต่างๆ ของเครื่องจักรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้สอดคล้องกับการผลิตชิ้นส่วนผลิตภัณฑ์นั้น ตัวอย่างของ Adaptive design ได้แก่ การติดตั้ง Stopper บนเครื่องกลึง เพื่อให้สามารถตั้งค่าศูนย์ของชิ้นงานกลึงได้โดยอัตโนมัติและรวดเร็ว
การออกแบบประเภทนี้ ผู้ออกแบบจำเป็นต้องมีความรู้และทักษะพิเศษทางด้านเทคนิค เพื่อใช้ในการออกแบบเครื่องจักรที่สามารถใช้งานอยู่ ด้วยแนวคิดใหม่ เช่น โครงสร้างใหม่ การใช้วัสดุใหม่ ขั้นตอนกระบวนการทำงานแบบใหม่ ชุดควบคุมและสั่งการใหม่ ในกรณีนี้ผู้ออกแบบจะเริ่มต้นจากการวิเคราะห์เครื่องจักรที่มีอยู่ เพื่อหาจุดบกพร่องหรือจุดที่สามารถปรับปรุงพัฒนาได้ ตัวอย่างของ Developement design ได้แก่ การเพิ่ม Sub-spindle บนเครื่องกลึง เพื่อให้สามารถกลึงงานได้ทั้ง 2 ด้านโดยไม่ต้องถอดชิ้นงาน
การออกแบบประเภทนี้ นอกจากผู้ออกแบบจะต้องมีความรู้และทักษะทางด้านเทคนิคแล้ว ยังจะต้องมีความคิดสร้างสรรค์ มีเข้าใจเงื่อนไขการทำงาน และรู้ความต้องการในตัวผลิตภัณฑ์ ในบางครั้งอาจจะต้องมีการวิจัยและพัฒนาเครื่องต้นแบบก่อนการสร้างเครื่องจริง ตัวอย่างของ New Design ได้แก่ การสร้างเครื่องกลึงรูปแบบพิเศษ ที่มีกระบวนกัดบนชิ้นงาน มีระบบของการตรวจวัดขนาดชิ้นงานโดยอัตโนมัติ สามารถปรับค่าของชิ้นงานได้ถ้าขนาดของชิ้นงานมีแนวโน้มที่จะออกนอกขอบเขตความคลาดเคลื่อนที่กำหนดไว้
การแบ่งประเภทในการออกแบบเครื่องจักรในบทความนี้ เป็นเพียงหนึ่งในหลายๆ รูปแบบของการออกแบบเครื่องจักร โดยเราอาจจะแบ่งตามกระบวนการทำงาน แบ่งตามประเภทของโครงสร้าง แบ่งตามลักษณะของชุดควบคุม แบ่งตามผลิตภัณฑ์ที่ต้องการผลิต เป็นต้น
แต่สุดท้ายไม่ว่าเราจะแบ่งในรูปแบบใด เครื่องจักรที่ออกแบบมาจะต้องใช้งานได้ มีความแม่นยำ เที่ยงตรง ถูกต้องและได้คุณภาพตามข้อกำหนดการทำงานที่ได้จากลูกค้า