Parallelism

ความขนาน

การควบคุมความขนาน (Parallelism Control)

ความขนาน (Parallelism) คือ สภาวะที่พื้นผิว (Planar Feature) แต่ละแนวบนพื้นผิว (Each Line Element) ระนาบกลาง (Center Plane) แกนกลาง (Center Line) หรือระนาบสัมผัส (Tangent Plane) มีระยะห่างในทิศทางตั้งฉากเมื่อเทียบกับดาตั้มอ้างอิงเป็นระยะเท่าๆ กัน โดยดาตั้มอ้างอิงสามารถเป็นได้ทั้งระนาบดาตั้ม (Datum Plane) หรือแกนดาตั้ม (Datum Axis) การควบคุมความขนานจัดอยู่ในกลุ่มของการควบคุมการจัดวางทิศทาง (Orientation Control) ดังนั้นการควบคุมความขนานจึงจำเป็นต้องกำหนดดาตั้มอ้างอิงเสมอ ตัวอย่างการกำหนดสัญลักษณ์ GD&T ความขนาน แสดงในภาพที่ 9-1

ภาพที่ 9-1 ตัวอย่างแบบงานที่มีสัญลักษณ์ GD&T ความขนาน

ในบางกรณีการควบคุมความขนานสามารถกำหนดดาตั้มได้ 2 อันดับ ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขการประกอบใช้งานและการวิเคราะห์ระดับของความเป็นอิสระในการเคลื่อนที่ (Degrees of Freedom) เพื่อกำหนดศูนย์ของชิ้นงานในการตรวจสอบหรือการผลิต

ความขนานของพื้นผิว (Parallelism of Feature)

ขอบเขตพิกัดความคลาดเคลื่อน (Tolerance Zone) ของความขนานที่ควบคุมพื้นผิว มีลักษณะเป็นระนาบคู่ขนาน    (2 Parallel Planes) ซึ่งมีระยะห่างเท่าค่าพิกัดความคลาดเคลื่อน (Tolerance Value) ที่กำหนดในแบบงาน ซึ่งค่าความเบี่ยงเบนของความขนาน (Parallelism Deviation) คือ ค่าระยะห่างของขอบเขตระนาบคู่ขนาน 2 ระนาบที่แคบที่สุด (Best Fit) ที่แต่ละจุดบนพื้นผิวสามารถอยู่ในขอบเขตนี้ได้

ขอบเขตพิกัดความคลาดเคลื่อนของความขนานที่ควบคุมพื้นผิว เป็นขอบเขตที่บางระดับของการเคลื่อนที่ (Degree of Freedom) จะถูกควบคุม (Constrain) จากดาตั้มอ้างอิง โดยขอบเขตพิกัดความคลาดเคลื่อนของความขนานสามารถเปลี่ยนตำแหน่งได้เฉพาะการขยับ (Translation) ส่วนการหมุน (Rotation) จะถูกควบคุมให้ขนานกับดาตั้มอ้างอิงที่กำหนด

ภาพที่ 9-2 ขอบเขตพิกัดความคลาดเคลื่อนของความขนานที่ควบคุมพื้นผิว

ภาพที่ 9-2 แสดงให้เห็นถึงการควบคุมระดับการเคลื่อนที่ของขอบเขตพิกัดความคลาดเคลื่อนของความขนาน เมื่อดาตั้มอ้างอิงเป็นระนาบ ขอบเขตพิกัดความคลาดเคลื่อนจะถูกควบคุมการหมุนรอบแกน X (u) และการหมุนรอบแกน Y (v) ชิ้นงาน (A) และชิ้นงาน (B) เป็นตัวอย่างของพื้นผิวที่หมุนรอบแกน X (u) และ Y (v) ตามลำดับ ซึ่งเป็นชิ้นงานที่ถูกปฏิเสธ (Reject) เนื่องจากขอบเขตพิกัดความคลาดเคลื่อนของความขนานถูกควบคุมจากระนาบดาตั้ม A ไม่สามารถหมุนรอบแกน    X (u) และ Y (v) ได้ ชิ้นงาน (C) เป็นตัวอย่างของพื้นผิวที่หมุนรอบแกน Z (w) ซึ่งเป็นชิ้นงานที่ถูกยอมรับ (Accept) เพราะขอบเขตพิกัดความคลาดเคลื่อนสามารถหมุนตามพื้นผิวที่ถูกควบคุมได้เสมอโดยยังคงขนานกับระนาบดาตั้ม A

การควบคุมความขนานด้วยกฎข้อที่ 1 (Parallelism Control by Rule #1)

เมื่อไม่มีการกำหนดสัญลักษณ์ GD&T ความขนาน (Parallelism) และพื้นผิว (Feature) นั้นเป็นส่วนหนึ่งของ Feature of Size พื้นผิวนั้นจะมีการควบคุมด้วยกฎข้อที่ 1 โดยจะควบคุมให้แต่ละจุดบนพื้นผิวไม่เหลื่อมล้ำออกนอกหรือเหลื่อมล้ำเข้าไปในขอบเขตสภาวะเนื้อวัสดุมากสุดที่มีความสมบูรณ์ทางด้านรูปทรง (Perfect Form at MMC) ซึ่งค่าความเบี่ยงเบนของความขนาน (Parallelism Deviation) จะมีค่าไม่มากกว่าค่าความเบี่ยงเบนของขนาด (Size Deviation) ที่เกิดขึ้นบนชิ้นงาน โดยขนาดที่เกิดขึ้นจริงในแต่ละแนวการตรวจสอบ (Actual Local Size, ALS) ต้องไม่ผิดเงื่อนไขของการควบคุมขนาด ดังแสดงในภาพที่ 9-3 ส่วนการวิเคราะห์ค่าความเบี่ยงเบนมากที่สุดของความขนาน ต้องวิเคราะห์จากขนาดจริง (Actual Size) ที่เกิดขึ้นของชิ้นงานพร้อมกับลักษณะของรูปร่างรูปทรงที่เกิดการผิดเพี้ยนของพื้นผิวคู่ขนานที่เป็น Feature of Size นั้นๆ

ภาพที่ 9-3 การควบคุมความขนานด้วยกฎข้อที่ 1

การควบคุมความขนานของพื้นผิว (Parallelism Control of Feature)

เมื่อพื้นผิว (Feature) มีการควบคุมด้วยสัญลักษณ์ GD&T ความขนาน (Parallelism) พื้นผิว (Feature) ที่เป็น Feature of Size นั้นยังคงมีการควบคุมด้วยกฎข้อที่ 1 เช่นเดิม โดยจะควบคุมให้แต่ละจุดบนพื้นผิวไม่เหลื่อมล้ำออกนอกหรือเหลื่อมล้ำเข้าไปในขอบเขตสภาวะเนื้อวัสดุมากสุดที่มีความสมบูรณ์ทางด้านรูปทรง (Perfect Form at MMC) ซึ่งค่าความเบี่ยงเบนของความขนาน (Parallelism Deviation) จะมีค่าไม่มากกว่าค่าพิกัดความคลาดเคลื่อน (Tolerance Value) ที่กำหนดในสัญลักษณ์ GD&T ความขนาน จากตัวอย่างในภาพที่ 9-4 พบว่าพื้นผิวด้านบนของชิ้นงานมีการควบคุมขนาดและความขนาน 

ภาพที่ 9-4 การควบคุมความขนานของพื้นผิว

ความขนานของระนาบกลาง (Parallelism of Center Plane)

ขอบเขตพิกัดความคลาดเคลื่อน (Tolerance Zone) ของความขนานที่ควบคุมระนาบที่สมบูรณ์แบบ (Center Plane) ที่เกิดจากพื้นผิวคู่ขนาน 2 พื้นผิว มีลักษณะเป็นระนาบคู่ขนาน 2 ระนาบ (2 Parallel Planes) ซึ่งมีความกว้างระหว่างระนาบเท่ากับค่าพิกัดความคลาดเคลื่อน (Tolerance Value) ที่กำหนดในแบบงาน โดยค่าความเบี่ยงเบนของความขนาน (Parallelism Deviation) ของชิ้นงานที่ผลิตได้ คือ ค่าของระยะห่างระหว่างขอบเขตระนาบคู่ขนานที่แคบที่สุดที่ระนาบกลางที่สมบูรณ์แบบสามารถอยู่ในขอบเขตนี้ได้

ขอบเขตพิกัดความคลาดเคลื่อนของความขนานที่ควบคุมระนาบกลาง มีความเป็นอิสระในระดับความเป็นอิสระของการเคลื่อนที่ของการขยับ (Translational Freedom) ทั้ง 3 ระดับ แต่จะถูกควบคุมระดับความเป็นอิสระของการหมุน (Rotational Freedom) อยู่ 2 ระดับ ดังแสดงในภาพที่ 9-5

ภาพที่ 9-5 ขอบเขตพิกัดความคลาดเคลื่อนของความขนานที่ควบคุมระนาบกลาง

ความขนานของแกนกลาง (Parallelism of Center Line)

ขอบเขตพิกัดความคลาดเคลื่อน (Tolerance Zone) ของความขนานที่ควบคุมแกนกลางที่สมบูรณ์แบบ (Center Line) ที่เกิดจากพื้นผิวทรงกระบอก มีลักษณะเป็นขอบเขตทรงกระบอก (Cylindrical Boundary) ที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางเท่ากับค่าพิกัดความคลาดเคลื่อน (Tolerance Value) ที่กำหนดในแบบงาน โดยค่าความเบี่ยงเบนของความขนาน (Parallelism Deviation) ของชิ้นงานที่ผลิตได้ คือ ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของขอบเขตทรงกระบอกที่เล็กที่สุดที่แกนกลางสามารถอยู่ในขอบเขตนี้ได้

ขอบเขตพิกัดความคลาดเคลื่อนของความขนานที่ควบคุมแกนกลางโดยมีดาตั้มอ้างอิงเพียง 1 อันดับ จะมีความเป็นอิสระในระดับความเป็นอิสระของการเคลื่อนที่ในการขยับ (Translational Freedom) ทั้ง 3 ระดับ โดยจะถูกควบคุมเฉพาะระดับความเป็นอิสระในการหมุน (Rotational Freedom) อยู่ 1 ระดับ ดังแสดงในภาพที่ 9-6

ภาพที่ 9-6 ขอบเขตพิกัดความคลาดเคลื่อนของความขนานที่ควบคุมแกนกลาง

ผู้ออกแบบสามารถเพิ่มระดับของความเป็นอิสระของการหมุนของการควบคุมความขนานของแกนกลางได้โดยการกำหนดดาตั้มอันดับที่ 2 ดังแสดงตัวอย่างในภาพที่ 9-7 โดยระนาบดาตั้มอ้างอิงอันดับที่ 1 หรือดาตั้ม A จะควบคุมเป็นอิสระของการหมุนรอบแกน Y (v) และระนาบอ้างอิงอันดับที่ 2 หรือดาตั้ม B จะควบคุมเป็นอิสระของการหมุนรอบแกน Z (w)

เนื่องจากการควบคุมความขนานของระนาบกลางหรือแกนกลางควบคุมได้เฉพาะระดับของความเป็นอิสระในการหมุน ไม่สามารถควบคุมระดับของความเป็นอิสระในการเคลื่อนที่ในแนวแกนใดได้เลย ดังนั้นการกำหนดสัญลักษณ์ GD&T ความขนานที่ควบคุมระนาบกลางหรือแกนกลางจึงจำเป็นต้องมีการกำหนดขนาดเพื่อกำหนดตำแหน่ง (Location Dimension) หรือสัญลักษณ์ GD&T การควบคุมความคลาดเคลื่อนของตำแหน่ง (Tolerance of Position) ควบคู่ไปด้วยเสมอ

ภาพที่ 9-7 ขอบเขตพิกัดความคลาดเคลื่อนของความขนานที่ควบคุมแกนกลางเมื่อมีการกำหนด 2 ดาตั้ม

การควบคุมความขนานในสภาวะที่ไม่คำนึงถึงเนื้อวัสดุ (Parallelism Control with RFS)

เมื่อมีการควบคุมความขนานของระนาบกลาง (Center Plane) หรือแกนกลาง (Center Line) ด้วยสัญลักษณ์ GD&T ความขนาน จะไม่สามารถยกเลิกกฎข้อที่ 1 ได้ นั้นคือพื้นผิวของชิ้นงานไม่สามารถเหลื่อมล้ำออกนอกหรือเหลื่อมล้ำเข้าไปในขอบเขตสภาวะเนื้อวัสดุมากสุดที่มีความสมบูรณ์ทางด้านรูปทรง (Perfect Form at MMC) แต่ขนาดของขอบเขตในสภาวะประกอบที่อ้างอิงดาตั้ม (Related Actual Mating Envelope, R-AME) จะมีค่าไม่เท่ากับขนาดของขอบเขตในสภาวะประกอบที่ไม่อ้างอิงดาตั้ม (Unrelated Actual Mating Envelope, U-AME) ถ้าสิ่งที่ถูกควบคุมเป็นขอบเขตด้านนอก (External Feature) ขนาดของขอบเขตในสภาวะประกอบที่อ้างอิงดาตั้ม (R-AME) จะมีค่ามากกว่าขนาดของขอบเขตในสภาวะประกอบที่ไม่อ้างอิงดาตั้ม (U-AME) แต่ถ้าสิ่งที่ถูกควบคุมเป็นขอบเขตด้านใน (Internal Feature) ขนาดของขอบเขตในสภาวะประกอบที่อ้างอิงดาตั้ม (R-AME) จะมีค่าน้อยกว่าขนาดของขอบเขตในสภาวะประกอบที่ไม่อ้างอิงดาตั้ม (U-AME)

เมื่อชิ้นงานอยู่ในสภาวะเนื้อวัสดุมากสุด (Maximum Material Condition, MMC) และเกิดความความเบี่ยงเบนของความขนาน (Parallelism Deviation) มากที่สุดจะทำให้ขอบเขตในสภาวะเสมือนประกอบ (Virtual Condition Boundary, VC) ที่มีขนาดไม่เท่ากับขอบเขตสภาวะเนื้อวัสดุมากสุดที่มีความสมบูรณ์ทางด้านรูปทรง ภาพที่ 9-8 แสดงให้เห็นถึงขนาดในสภาวะเสมือนประกอบ (VC) ซึ่งเป็นผลกระทบระหว่างขนาดและค่าความเบี่ยงเบนของความขนาน เช่น กรณีของเพลาที่มีขนาดในสภาวะเนื้อวัสดุมากสุด (MMC) เท่ากับ Ø 16.3 มม. และมีค่าความขนานของแกนกลางมากที่สุดเท่ากับ 0.1 จะทำให้ขนาดของเพลาในสภาวะเสมือนประกอบ (VC) มีค่าเท่ากับ Ø 16.4 มม. ส่วนกรณีของรูที่มีขนาดในสภาวะเนื้อวัสดุมากสุด (MMC) เท่ากับ Ø 15.7 มม. และมีค่าความขนานของแกนกลางมากที่สุดเท่ากับ 0.1 จะทำให้ขนาดของรูในสภาวะเสมือนประกอบ (VC) มีค่าเท่ากับ Ø 15.6 มม.

ภาพที่ 9-8 ขอบเขตในสภาวะเสมือนประกอบ (VC)

การควบคุมความขนานของแกนกลางทรงกระบอกของพื้นผิวด้านนอก (External Feature) จะส่งผลให้ขนาดในสภาวะประกอบที่อ้างอิงดาตั้ม (R-AME) มีขนาดโตขึ้น โดยขนาดที่โตขึ้นนี้เป็นผลกระทบจากขนาดในสภาวะประกอบที่ไม่อ้างอิงดาตั้ม (U-AME) กับค่าความเบี่ยงเบนของความขนาน (Parallelism Deviation) เช่น เพลามีขนาดที่เกิดขึ้นจริงเท่ากับ   Ø 16.2 มม. และมีค่าความขนานของแกนกลางเท่ากับ 0.05 จะทำให้ขนาดในสภาวะประกอบที่ตั้งฉากกับดาตั้ม (R-AME) มีค่าเท่ากับ Ø 16.25 มม. ดังแสดงในภาพที่ 9-9

ภาพที่ 9-9 สภาวะประกอบที่ขนานกับดาตั้มอ้างอิงของเพลา

ถ้าเป็นการควบคุมความขนานของแกนกลางทรงกระบอกของพื้นผิวด้านใน (Internal Feature) จะส่งผลให้ขนาดในสภาวะประกอบที่อ้างอิงดาตั้ม (R-AME) มีขนาดเล็กลง โดยขนาดที่เล็กลงนี้เป็นผลกระทบจากขนาดในสภาวะประกอบที่ไม่อ้างอิงดาตั้ม (U-AME) กับค่าความเบี่ยงเบนของความขนาน (Parallelism Deviation) เช่น รูมีขนาดที่เกิดขึ้นจริงเท่ากับ Ø 15.9 มม. และมีค่าความขนานของแกนกลางเท่ากับ 0.05 จะทำให้ขนาดในสภาวะประกอบที่ตั้งฉากกับดาตั้ม (R-AME) มีค่าเท่ากับ Ø 15.85 มม. ดังแสดงในภาพที่ 9-10

ภาพที่ 9-10 สภาวะประกอบที่ขนานกับดาตั้มอ้างอิงของรู

การควบคุมความขนานในสภาวะเนื้อวัสดุมากสุด (Parallelism Control with MMC)

เมื่อมีการควบคุมความขนานของระนาบกลาง (Center Plane) ด้วยสัญลักษณ์ GD&T ความขนาน (Parallelism) และมีการกำหนดสัญลักษณ์ปรับปรุง (Modifier) สภาวะเนื้อวัสดุมากสุด (Maximum Material Condition, MMC) ในส่วนของค่าพิกัดความคลาดเคลื่อน (Tolerance Value Compartment) จะส่งผลให้ค่าพิกัดความคลาดเคลื่อนโดยรวม (Total Tolerance) ของชิ้นงานมีค่ามากกว่าค่าพิกัดความคลาดเคลื่อนที่กำหนดในแบบงาน (Stated Tolerance) และจะมีค่าเปลี่ยนไปตามขนาดในสภาวะประกอบที่ไม่อ้างอิงดาตั้ม (Unrelated Actual Mating Envelope, U-AME) ของชิ้นงาน โดยจะเกิดค่าพิกัดความคลาดเคลื่อนที่เพิ่มขึ้น (Bonus Tolerance) ซึ่งมีค่าเท่ากับผลต่างระหว่างขนาดที่เกิดขึ้นจริงกับขนาดในสภาวะเนื้อวัสดุมากสุด ดังแสดงในภาพที่ 9-11 ถึงแม้ว่าค่าพิกัดความคลาดเคลื่อนโดยรวมของชิ้นงานจะมีค่าเปลี่ยนไปตามขนาดของชิ้นงานแต่พื้นผิวของชิ้นงานจะไม่เหลื่อมล้ำออกนอกหรือเหลื่อมล้ำเข้าไปในขอบเขตสภาวะเสมือนประกอบ (VC)

ภาพที่ 9-11 การควบคุมความขนานในสภาวะเนื้อวัสดุมากสุด

ค่าพิกัดความคลาดเคลื่อนที่เพิ่มขึ้น (Bonus Tolerance) มีค่าเท่ากับผลต่างระหว่างขนาดในสภาวะเนื้อวัสดุมากสุด (Maximum Material Condition, MMC) กับขนาดในสภาวะประกอบที่ไม่อ้างอิงดาตั้ม (Unrelated Actual Mating Envelope, U-AME) ของชิ้นงานที่ผลิตได้ ซึ่งสามารถเขียนเป็นสมการได้ดังนี้

Bonus Tolerance = | MMC - AME of Form |

ค่าพิกัดความคลาดเคลื่อนโดยรวมของความขนาน (Total Tolerance) มีค่าเท่ากับผลรวมของค่าพิกัดความคลาดเคลื่อนของความขนานที่กำหนดในแบบงาน (Stated Tolerance) กับค่าพิกัดความคลาดเคลื่อนที่เพิ่มขึ้น (Bonus Tolerance) ซึ่งสามารถเขียนเป็นสมการได้ดังนี้

Total Tolerance = Stated Tolerance + Bonus Tolerance

หรือสามารถคำนวณหาค่าพิกัดความคลาดเคลื่อนโดยรวมของความขนาน (Total Tolerance) ได้จากผลต่างระหว่างขนาดในสภาวะเสมือนประกอบ (Virtual Condition Boundary, VC) กับขนาดในสภาวะประกอบที่ไม่อ้างอิงดาตั้ม (U-AME) ของชิ้นงานที่ผลิตได้ ซึ่งสามารถเขียนเป็นสมการได้ดังนี้

Total Tolerance = | VC - AME of Form |

วิธีวิเคราะห์ค่าพิกัดความคลาดเคลื่อนที่เพิ่มขึ้นและค่าพิกัดความคลาดเคลื่อนโดยรวมของการควบคุมรูปร่างรูปทรงอื่นๆ จะใช้สมการและวิธีวิเคราะห์ที่เหมือนกันทั้งหมดเมื่อสัญลักษณ์ GD&T ที่กำหนดลงในแบบงานมีการกำหนดสัญลักษณ์ปรับปรุง MMCในส่วนของค่าพิกัดความคลาดเคลื่อน

ภาพที่ 9-12 แบบงานตัวอย่างการวิเคราะห์ค่าพิกัดความคลาดเคลื่อนในสภาวะเนื้อวัสดุมากสุด

แบบงานในภาพที่ 9-12 เป็นตัวอย่างของการวิเคราะห์ค่าพิกัดความคลาดเคลื่อนของการควบคุมความขนานในสภาวะเนื้อวัสดุมากสุด จากการวิเคราะห์แบบงาน พบว่าขนาดในสภาวะเนื้อวัสดุมากสุด (MMC Size) มีค่าเท่ากับ Ø 15.7 มม. ค่าพิกัดความคลาดเคลื่อนที่กำหนดในแบบงาน (Stated Tolerance) มีค่าเท่ากับ 0.1 มม. และขนาดในสภาวะเสมือนประกอบ (VC Size) มีค่าเท่ากับ Ø 15.6 มม. โดยขนาดในสภาวะประกอบที่ไม่อ้างอิงดาตั้ม (U-AME) ของชิ้นงานที่ผลิตได้มีค่าเท่ากับ Ø 15.85 มม. จากข้อมูลดังกล่าว สามารถคำนวณหาค่าพิกัดความคลาดเคลื่อนต่างๆ ได้ดังนี้

Bonus Tolerance = | MMC - AME | = | 15.7 - 15.85 | = 0.15

Total Tolerance = Stated Tolerance + Bonus Tolerance = 0.1 + 0.15 = 0.25

ดังนั้นเมื่อชิ้นงานมีขนาด Ø 15.85 มม. ค่าพิกัดความคลาดเคลื่อนโดยรวมจึงมีค่าเท่ากับ 0.25

ในกรณีที่ต้องการคำนวณหาค่าพิกัดความคลาดเคลื่อนโดยรวมโดยใช้ขนาดสภาวะเสมือนประกอบ (VC) ในการวิเคราะห์ สามารถคำนวณได้ดังนี้

Total Tolerance = | VC - AME | = | 15.6 - 15.85 | = 0.25

ภาพที่ 9-13 เป็นตัวอย่างแสดงการวิเคราะห์ขนาดในสภาวะการประกอบที่ขนานกับดาตั้มอ้างอิง (R-AME) ของการควบคุมความขนานในสภาวะเนื้อวัสดุมากสุด (MMC) ของเพลาและรู

ภาพที่ 9-13 การวิเคราะห์การควบคุมความขนานในสภาวะเนื้อวัสดุมากสุดของเพลาและรู

ตัวอย่างการตรวจสอบความขนาน (Example of Parallelism Inspection)

ภาพที่ 9-14 เป็นตัวอย่างของการตรวจสอบความขนานด้วยเครื่องมือวัดพื้นฐาน ได้แก่ โต๊ะระดับ (Surface Plate) และไดอัลเกจ (Dial Gauge)

ภาพที่ 9-14 การตรวจสอบความขนานด้วยเครื่องมือวัดพื้นฐาน

ปรับตั้งค่าชิ้นงาน โดยการวางชิ้นงานบนโต๊ะระดับ นำชุดไดอัลเกจแตะที่บนพื้นผิวที่ต้องการตรวจสอบความขนาน

ตรวจสอบค่าความเบี่ยงเบนของความขนาน โดยลากไดอัลเกจให้ครอบคลุมทั่วทั้งพื้นผิวที่ต้องการตรวจสอบความขนาน เก็บค่ามากที่สุดและน้อยที่สุดที่สามารถอ่านค่าได้จากไดอัลเกจในขณะทำการตรวจสอบ เช่น อ่านค่าวัดมากที่สุดจากไดอัลเกจได้เท่ากับ 0.07 และอ่านค่าวัดน้อยสุดได้เท่ากับ 0.03

วิเคราะห์ผลการตรวจสอบ โดยค่าความเบี่ยงเบนของความขนานที่ทำการตรวจสอบ คือ ผลต่างระหว่างค่าที่มากที่สุดและค่าที่น้อยที่สุดที่อ่านได้จากไดอัลเกจ เช่น ค่าของไดอัลเกจในขณะทำการวัดอ่านค่าได้มากที่สุดเท่ากับ 0.07 อ่านค่าได้น้อยที่สุดเท่ากับ 0.03 ดังนั้น ค่าความเบี่ยงเบนของความขนานที่ทำการตรวจสอบจะมีค่าเท่ากับ 0.04

สรุปผลการตรวจสอบ โดยค่าความเบี่ยงเบนของความขนานของพื้นผิวนี้จะมีค่าเท่ากับ 0.04